ทุกเรื่องเกี่ยวกับรถยนต์ไฮบริด

เมื่อปี 2000 สหรัฐฯมีรถยนต์ไฮบริดจำหน่ายเพียงสองรุ่นเท่านั้นตามข้อมูลจาก hybridcars.com อย่างไรก็ตามสถิติจากกระทรวงคมนาคมสหรัฐฯพบว่ายอดขาย
รถยนต์ไฮบริดในสหรัฐฯมีการขยายตัวจาก 9,350 คันในปี 2000 เป็น 507,272 ในปี 2014 ตลาดรถยนต์ไฮบริดยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง J.D. Power & Associates คาดว่ามี
รถยนต์ไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้าถึง 159 รุ่นจำหน่ายในสหรัฐฯในปี 2016

การเติบโตของรถยนต์ไฮบริด

จำนวนรถยนต์ไฮบริดที่เพิ่มขึ้นมีสาเหตุอยู่หลายประการด้วยกันแต่ความสนใจในเทคโนโลยีดังกล่าวก็ขึ้นอยู่กับระเบียบข้อบังคับของรัฐบาลเป็นสำคัญโดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มระยะทางของรถต่ออัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงและเพื่อกระตุ้นความใส่ใจด้านสิ่งแวดล้อมของผู้บริโภค ภายใต้คำแนะนำของ Environmental Protection Agency (EPA) และกระทรวงพลังงานมีกำหนดไว้ว่ารถยนต์โดยสารในสหรัฐฯจะต้องสามารถทำอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงให้ได้ 54.5 ไมล์/แกลลอนภายในปี 2025 นอกเหนือจากเป้าหมายด้านการประหยัดเชื้อเพลิงรถยนต์ไฮบริดไฟฟ้าและรถยนต์พลังงานทางเลือกอื่นๆก็จะมีบทบาทสำคัญในการช่วยลดมลพิษด้วยเช่นกัน

J.D. Power & Associates ระบุว่าภายในปี 2025 รถยนต์โดยสารกว่าหนึ่งในสามจะติดตั้งระบบขับเคลื่อนทางเลือกและทำงานด้วยเชื้อเพลิงทางเลือก ประมาณ 17.5 เปอร์เซ็นต์ของรถจะเป็นระบบไฮบริดทำงานด้วยน้ำมันหล่อลื่น/ไฟฟ้าหรือรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด รถยนต์ไฟฟ้าแบบปลั๊กอินจะมีส่วนแบ่งในตลาดอยู่ที่ประมาณห้าเปอร์เซ็นต์

ประวัติความเป็นมา

รถยนต์ไฮบริดที่ทำงานด้วยระบบน้ำมันหล่อลื่นและมอเตอร์ไฟฟ้าเริ่มเปิดตัวในสหรัฐฯเมื่อปี 1999 จากรุ่น Honda Insight ที่เป็นรถยนต์ขนาดเล็ก Insight ได้รับรางวัลรับรองด้านนวัตกรรมมากมายและยังมีค่า EPA ต่ำถึง 61 ไมล์/แกลลอน สำหรับการขับขี่ในเมืองและ 70 ไมล์/แกลลอน สำหรับการขับขี่บนทางหลวง

Insight รุ่นแรกซึ่งเลิกผลิตไปในปี 2006 ถูกแทนที่ด้วยการเปิดตัว Prius จากค่าย Toyota ซึ่งเป็นรถยนต์ไฮบริดสี่ประตู Prius ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในญี่ปุ่นต่อเนื่องถึงสี่ปีและได้รับความนิยมต่อไปถึงสหรัฐฯและเป็นจุดกำเนิดของเทรนด์รถไฮบริดในปัจจุบันความสำเร็จของ Prius ทำให้ผู้ผลิตรายใหญ่และเฉพาะกลุ่มเริ่มหันมาสนใจรถยนต์ไฮบริดและการใช้เชื้อเพลิงทางเลือกกับรถยนต์ของตนเอง

รถยนต์ไฮบริดกับทางสายกลาง

แม้จะมีข้อดีหลายอย่างแต่เทคโนโลยีไฮบริดก็มีข้อด้อยเช่นกัน สำหรับผู้ซื้อรถที่ต้องการพื้นที่สัมภาระมากเครื่องยนต์ไฮบริดกลับต้องอาศัยพื้นที่ติดตั้งแบตเตอรี่เป็นจำนวนมากทำให้พื้นที่สัมภาระลดลง แม้ว่าจะมีการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าให้ดีขึ้นมากแต่รถยนต์ปลั๊กอินไฟฟ้าหลายรุ่นก็ยังต้องมีการชาร์จไฟทำให้ผู้ขับขี่ลังเลที่จะหันมาใช้เทคโนโลยีไฮบริดเนื่องจาก “ไม่แน่ใจกับระยะทางในการขับขี่ที่ใช้ได้จริง”

รถยนต์ไฮบริดประเภทต่างๆ

ขณะเลือกซื้อรถยนต์ไฮบริดคุณควรศึกษาข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับรถยนต์ไฮบริดประเภทต่างๆ ต่อไปนี้เป็นคำศัพท์ที่ใช้กันทั่วไปกับรถยนต์ไฮบริด

• รถยนต์ไฟฟ้าระบบไฮบริด (HEVs): HEV จะใช้เครื่องยนต์ที่ทำงานด้วยเชื้อเพลิงและไฟฟ้าเพื่อให้ได้ระยะทางในการขับขี่มากขึ้น เทคโนโลยีส่วนใหญ่ในปัจจุบันประกอบไปด้วยระบบเบรกรีเจนเนอร์เรทีฟ ระบบมอเตอร์ไฟฟ้าช่วยขับเคลื่อนและระบบสตาร์ทและดับเครื่องยนต์อัตโนมัติ
• รถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด (PHEV): ลักษณะจะคล้ายๆกับ HEV คือจะใช้เครื่องยนต์ที่ทำงานด้วยเชื้อเพลิงและไฟฟ้าเพื่อให้ได้ระยะทางในการขับขี่มากขึ้นแต่ข้อแตกต่างที่สำคัญคือเจ้าของรถ PHEV ไม่เพียงแต่สามารถชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ของตนเองโดยการเสียบปลั๊กเท่านั้นแต่รถยังสามารถทำงานด้วยไฟฟ้าอย่างสมบูรณ์แบบทำให้สามารถขับเคลื่อนได้เป็นระยะทางไกลโดยไม่ต้องใช้น้ำมันหล่อลื่นเลย
• รถยนต์ไฟฟ้าแบบใช้แบตเตอรี่ (BEV): รถ BEV เป็นรถปลั๊กอินแบบใช้พลังงานแบตเตอรี่ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า เครื่องยนต์จะใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน (นิสสัน Leaf) หรือชุดแบตเตอรี่ (Tesla) แบตเตอรี่จะถูกชาร์จไฟผ่านจุดบริการชาร์จหรือสถานีชาร์จที่บ้าน
• รถยนต์ไฮโดรเจน: ไฮโดรเจนจะถูกใช้สำหรับเครื่องยนต์สันดาปภายในหรือถูกผสมกับออกซิเจนในเซลล์เชื้อเพลิงเพื่อขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้า
• รถยนต์ไบโอดีเซล: พลังงานหมุนเวียนเช่นการใช้น้ำมันหล่อลื่นพืชจากการปรุงอาหารหรือจากถั่วเหลืองไขมันสัตว์หรือสาหร่ายเพื่อนำมาขับเคลื่อนเครื่องยนต์ดีเซล
• รถยนต์เชื้อเพลิงทางเลือก: รถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงอื่นที่ไม่ใช่น้ำมันหล่อลื่นเบนซินนอกเหนือจากไฮโดรเจนและไบโอดีเซลเชื้อเพลิงทางเลือกอื่นๆยังประกอบไปด้วยก๊าซธรรมชาติที่ไม่ได้มาจากฟอสซิล ไบโอแอลกอฮอล์ ก๊าซมีเทนที่ไม่ได้มาจากฟอสซิล เอททานอลและโพรเพน

รถยนต์ไฮบริดสำหรับคุณ

ตัวเลือกที่มีอยู่มากมายจึงอาจทำให้การเลือกรถยนต์ไฮบริดคันแรกของคุณเป็นเรื่องยุ่งยาก แต่จำไว้ว่าเครื่องยนต์เหล่านี้จะมีการพัฒนาให้ดีขึ้นเรื่อยๆโดยมีการคิดค้นทางวิศวกรรมเพื่ออนุรักษ์พลังงานเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเพื่อให้คุณสามารถขับขี่ได้เป็นระยะทางยาวขึ้น ตอนนี้คุณมีความเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับรถยนต์ไฮบริดก่อนที่จะเลือกซื้อรถยนต์คันใหม่แล้ว