ผู้ผลิตรถยนต์กับการพัฒนาระบบสตาร์ทและดับเครื่องยนต์อัตโนมัติ

โดย Nancy Dunham

ผู้ผลิตรถยนต์คาดหวังว่าระบบสตาร์ทและดับเครื่องยนต์อัตโนมัติจะสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้รถยนต์ประสิทธิภาพสูงขนาดใหญ่ภายใต้มาตรฐานการประหยัดเชื้อเพลิงของ Environmental Protection Agency ที่กำหนดให้รถยนต์จะต้องสามารถประหยัดน้ำมันหล่อลื่นเฉลี่ยที่ 54.5 ไมล์/แกลลอน ภายในปี 2025 เทคโนโลยีดังกล่าวเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเนื่องจากผู้ผลิตรถยนต์มีการปรับตัวตามเป้าหมายการประหยัดเชื้อเพลิงภายในปี 2025 อย่างจริงจัง ผู้เชี่ยวชาญบางรายคาดว่าระบบสตาร์ทและดับเครื่องยนต์อัตโนมัติจะถูกใช้กับรถยนต์รุ่นใหม่ๆทั้งหมดภายในหนึ่งทศวรรษ ต่อไปนี้เป็นบางประเด็นที่คุณควรพิจารณาเกี่ยวกับระบบสตาร์ทและดับเครื่องยนต์อัตโนมัติที่อาจมีผลต่อการขับขี่ของคุณ

เทคโนโลยีสตาร์ทและดับเครื่องยนต์อัตโนมัติทำงานอย่างไร

ระบบสตาร์ทและดับเครื่องยนต์อัตโนมัติเป็นระบบวิศวกรรมที่มีขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาด้านอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง เป้าหมายหลักของระบบสตาร์ทและดับเครื่องยนต์อัตโนมัติคือเพื่อประหยัดเชื้อเพลิง รายงานจาก Edmunds.com คาดการณ์ว่าการประหยัดเชื้อเพลิง 3-10% สามารถเกิดขึ้นได้จากปัจจัยหลายอย่าง การตัดการทำงานเครื่องยนต์ที่ยาวนานขึ้นจะทำให้ประหยัดเชื้อเพลิงได้มากขึ้น ดังนั้นหากรถใช้เชื้อเพลิงเฉลี่ยที่ 20 ไมล์/แกลลอน ระบบสตาร์ทและดับเครื่องยนต์อัตโนมัติจะสามารถเพิ่มการประหยัดเชื้อเพลิงได้สูงถึง 22 ไมล์/แกลลอน

คุณอาจเคยอ่านเจอหรือสัมผัสด้วยตัวเองว่าระบบสตาร์ทและดับเครื่องยนต์อัตโนมัติจะปรับลดการทำงานของเกียร์อัตโนมัติเมื่อผู้ขับขี่เหยียบเบรกเพื่อหยุดรถเช่น บริเวณแยกไฟแดงหรือในที่ที่การจราจรหนาแน่น เมื่อรถที่ใช้เทคโนโลยีสตาร์ทและดับเครื่องยนต์หยุดสนิทระบบสตาร์ทและดับเครื่องยนต์อัตโนมัติจะตัดระบบจุดระเบิดและตัดเชื้อเพลิงที่จ่ายไปยังเครื่องยนต์ซึ่งจะช่วยประหยัดเชื้อเพลิงที่เดิมจะใช้เพื่อเดินรอบเบาขณะที่รถไม่ได้เคลื่อนตัว วิศวกรมีการคิดค้นเทคโนโลยีเพื่อให้เครื่องยนต์ที่สามารถสตาร์ทและดับเครื่องยนต์สามารถเริ่มการทำงานใหม่ได้ในทันทีเมื่อผู้ขับขี่ปล่อยเท้าจากเบรกและเหยียบคันเร่ง

ผลต่อการขับขี่

ผู้ขับขี่บางรายอาจไม่ชอบระบบสตาร์ทและดับเครื่องยนต์อัตโนมัติโดยบอกว่ามีเสียงดังและทำให้รถกระตุกหรือเดินไม่เรียบ รายงานข่าวบางส่วนระบุว่าประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ของผู้ขับขี่มีการปิดระบบสตาร์ทและดับเครื่องยนต์อัตโนมัติของรถตนเองเป็นการชั่วคราว สำหรับกลุ่มเล่นรถผู้ขับขี่รถยนต์หรูระดับสูงกลับไม่ค่อยมีปัญหากับเทคโนโลยีนี้มากนักโดยระบุว่ารถของตนเองมีฉนวนกันเสียงรบกวนทำให้การสตาร์ทและดับเครื่องนิ่งกว่ามาก

การใช้งานระบบสตาร์ทและดับเครื่องยนต์อัตโนมัติสำหรับรถของคุณ

ผู้เชี่ยวชาญด้านรถยนต์แนะนำให้รถยนต์ต่างๆเริ่มหันมาใช้ระบบสตาร์ทและดับเครื่องยนต์อัตโนมัตินี้ สตาร์ทเตอร์ แบตเตอรี่ ระบบคอมพิวเตอร์และระบบต่างๆของรถอาจต้องมีการดัดแปลงเพื่อรองรับเทคโนโลยีสตาร์ทและดับเครื่องยนต์อัตโนมัตินี้ ขั้นตอนดังกล่าวอาจมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงและระบบสตาร์ทและดับเครื่องยนต์อัตโนมัติก็ยังอาจกระทบต่อระบบคอมพิวเตอร์และระบบไฟฟ้าอื่นๆของรถด้วยในเวลาเดียวกัน

รถยนต์ที่ใช้ระบบสตาร์ทและดับเครื่องยนต์อัตโนมัติ

รถยนต์ที่ใช้ระบบสตาร์ทและดับเครื่องยนต์อัตโนมัติ ระบบสตาร์ทและดับเครื่องยนต์อัตโนมัติไม่ใช่เรื่องใหม่ในปี 1983 Volkswagen เริ่มผลิตรถยนต์ที่ใช้ระบบสตาร์ทและดับเครื่องยนต์อัตโนมัติและจำหน่ายเป็นครั้งแรกในยุโรปโดยเทคโนโลยีนี้ต้องใช้เวลาถึง 20 ปีกว่าจะได้รับการยอมรับและเป็นที่นิยม ปัจจุบันคุณสามารถพบเห็นระบบสตาร์ทและดับเครื่องยนต์อัตโนมัติได้ทั่วไปสำหรับรถยนต์ในสหรัฐฯไม่ว่าจะเป็นรถสี่ประตู (Chevrolet Impala, Chrysler 2000) รถบรรทุก (Dodge Ram 1500, Ford F-150) หรือรถยนต์หรู (Cadillac CTS) รถที่ผลิตในสหรัฐฯจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆเริ่มหันมาใช้มาตรฐานการประหยัดเชื้อเพลิงอย่างจริงจัง รถยนต์ในยุโรป 40 - 60 เปอร์เซ็นต์ปัจจุบันติดตั้งระบบสตาร์ทและดับเครื่องยนต์อัตโนมัติซึ่งกลายเป็นมาตรฐานที่ยอมรับกันในยุโรปมากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งสำคัญที่ควรทราบคือเทคโนโลยีสตาร์ทและดับเครื่องยนต์อัตโนมัตินี้มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการตัดสินใจซื้อรถยนต์คันใหม่ของคุณ

Nancy Dunham ปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่วอชิงตันดีซีและเป็นผู้เขียนข่าวรถยนต์ให้กับ National Automobile Dealers Association และสำนักข่าวอีกหลายแห่ง